อุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่แข่งขันกันอย่างรุนแรงที่สุดในปัจจุบันนี้ นี่คงเป็นประโยคที่หลายคนไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งๆที่โดยแรกเริ่ม อุตสาหกรรมมือถือเริ่มการพัฒนาโดยบริษัทใหญ่อย่างโนเกีย ซีเมนส์และโมโตโรล่าโดยในช่วงแรกนั้นพัฒนาขึ้นเพื่อการติดต่ออย่างเดียวเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีลูกเล่นแต่อย่างใด เมื่อปี 1989 โนเกียได้เปิดตัวโทรศัพท์(ที่อาจเรียกได้ว่า)เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกในชื่อ Nokia 101
(ก่อนหน้านี้โมโตโรล่าได้ปล่อยตัวโทรศัพท์ไร้สายออกมาในชื่อรุ่น Motorola DynaTAC 8000X
แต่มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และหนัก หรือที่เราเรียกกันติดปากว่ารุ่นกระดูกหมา)
แต่มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และหนัก หรือที่เราเรียกกันติดปากว่ารุ่นกระดูกหมา)
จากนั้นความสามารถของโทรศัพท์มือถือก็พัฒนาเรื่อยมา แต่เป็นเพียงเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารเท่านั้น จากนั้นมาอุตสาหกรรมมือถือก็พัฒนาอย่างหลากหลายทั้งการพูดคุยแบบประชุมสาย การใส่ออร์แกไนเซอร์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข ปฎิทินไว้ในโทรศัพท์มือถือ
โทรศัพท์ที่เป็นมากกว่าโทรศัพท์ ตลาดยังคงดำเนินต่อมาโดยบริษัทใหญ่ๆนั้นแทบจะกินส่วนแบ่งการตลาดถึงครึ่งจนกระทั่งบริษัททางฝั่งเอเชีย เริ่มเห็นแนวทางใหม่ในการพัฒนาโทรศัพท์มือถือโดยการผลิตโทรศัพท์จอสี ในช่วงแรกบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปเห็นว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็นและเป็นการเพิ่มต้นทุนที่สูง แต่มือถือจอสีเหล่านั้นกลับได้รับความนิยมและมียอดขายที่สูงจนบริษัทจากยุโรปต้องหันมาค้นคว้าและเริ่มผลิตโทรศัพท์จอสีปล่อยสู่ตลาดเพื่อแข่งขัน ณ จุดนี้เองอุตสาหกรรมมือถือ เริ่มเห็นแนวโน้มในการพัฒนา และทราบว่าอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์นั้นมิได้มีเพียงแต่ใช้เพื่อการสื่อสารแต่ผู้บริโภคต้องการสิ่งอื่นด้วย ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายบริษัทมุ่งเข้าสู่การแข่งขันในตลาดโทรศัพท์มือถือ
รูปลักษณ์ สีสัน ฟังก์ชั่นสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความนิยมของผู้บริโภค ตลาดโทรศัพท์มือถือกลายเป็นตลาดที่ผู้ผลิตต้องช่วงชิงโอกาสในการคิดค้น และปล่อยสินค้าที่มีลูกเล่นใหม่เข้าสู่ตลาด และหากสินค้าเป็นที่นิยมบริษัทก็สามารถตั้งราคาเกินกว่าต้นทุนเพื่อดูดซับส่วนเกินของผู้บริโภคสร้างกำไรให้บริษัทได้มากมาย เมื่อโทรศัพท์มือถือเริ่มเติบโตมาถึงขีดสุดของดีไซน์และฟังก์ชั่นพื้นฐานทางการสื่อสารก็ได้ทำการรุกรานตลาดอื่นเพื่อ ช่วงชิงอุปสงค์จากอุตสาหกรรมอื่น เช่น การติดตั้งกล้องในโทรศัพท์มือถือแม้ในช่วงแรกๆ จะมีความชัดไม่มากแต่ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก หรือจะเป็นการติดตั้งเทคโนโลยีการอ่าน Mp3 เพื่อแย่งชิงลูกค้าจาก ipod โทรศัพท์มือถือได้พัฒนาสู่ยุคฟีเจอร์โฟน โทรศัพท์ที่มีฟังก์ชั่นที่หลากหลายมากขึ้น และพัฒนาสู่ยุคสมาร์ตโฟนในเวลาต่อมา
Market shareและบทเรียนที่ล้ำค่าของบริษัทยักษ์ใหญ่ แม้ในอดีตบริษัทจากยุโรปที่ได้รับความนิยมสูงจากลูกค้าจะสามารถขายสินค้าโดยตั้งราคาเกินจริงได้ แต่ปัจจุบันค่ายโทรศัพท์มือถือจากเอเชียได้แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ความคุ้มค่าที่มากขึ้น และสิ่งนี้สามารถทำลายroyalty ที่ผู้บริโภคมีต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ทางยุโรปอย่างเนเกีย โมโตโรล่า และโซนี่อิริคสัน ลงได้ ด้วยปัจจุบันค่ายโทรศัพท์มือถืออย่างซัมซุง และแอลจีได้เบียดอินเตอร์แบรนต่างๆขึ้นมาครองmarket share ที่อันดับ 2-3 ตามลำดับ โดยโนเกียนั้นยังคงครองอันดับ 1 เนื่องจากได้รับความเชื่อถือในด้านของความคงทน แม้ในด้านเทคโนโลยีโนเกียจะเชื่องช้าที่สุดก็ตาม สิ่งนี่ทำให้อินเตอร์แบรนทางยุโรปไม่สามารถกั๊กเทคโนโลยีได้อีกต่อไป และทำให้ตลาดโทรศัพท์มือถือมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอีก
อำนาจของผู้บริโภคระดับล่าง และการคุกคามจากเฮาส์แบรน ในอดีตบุคคลที่จะสามารถหาซื้อโทรศัพท์มือถือมาใช้งานได้มักจะเป็นคนที่มาฐานะระดับกลางขึ้นไป แต่ในปี 2553 ผลการวิจัยสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พบว่าคนไทยใช้โทรศัพท์มือถือโทรหากันถึง 68% และโทรศัพท์มือถือมีแนวโน้มสำคัญต่อชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น แสดงว่ามีคนในระดับล่างเข้ามาใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น โดยในปีเดียวกัน ผลการวิจัยจาก Learn Asia พบว่ากลุ่มคนในระดับ Bottom of Pyramid เป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือมากขึ้นอย่างน่าตกใจ อย่างในประเทศไทยคนกลุ่มนี้ถึง 91% มีโทรศัพท์มือถือไว้ใช้งาน ดังนั้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจึงเกิดการเปิดศึกช่วงชิงตลาดในระดับล่าง โดยเราได้เห็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่เปิดตัวโทรศัพท์มือถือที่ราคาต่ำชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตลาดมือถือระดับล่างไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลกเพราะคนในระดับล่างเริ่มมีกำลังซื้อและเห็นความสำคัญมากขึ้น เหตุนี้ทำให้เกิดเฮาส์แบรน์ขึ้นมากมาย และเป็นศัตรูที่อันตรายอย่างมากต่ออินเตอร์แบรน เนื่องด้วย ณ ราคาเปรียบเทียบมือถืออย่างเฮาส์แบรนมีฟังก์ชั่นที่มากกว่า คุ้มค่ากว่าเช่น การดูโทรทัศน์ระบบอะนาลอกผ่านโทรศัพท์มือถือได้ การเปิดใช้งานได้ 2 ซิม แม้ในช่วงแรกเฮาส์แบรนจะถูกโจมตีด้วยคุณภาพที่ไม่ดี แต่ในช่วงหลังเฮาส์แบรนเหล่านี้หันมาใส่ใจกับคุณภาพมากขึ้น และอินเตอร์แบรนเองก็ต้องการลดต้นทุน จึงย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในจีนเช่นเดียวกับเฮาส์แบรน ประกอบกับในปัจจุบันข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือนั้นเข้าถึงง่าย ไม่ว่าจะเป็นทางหนังสือ หรืออินเตอร์เน็ตผู้บริโภคจึงเกิดการรับรู้ และรู้สึกไม่แตกต่างมากนัก นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้โทรศัพท์มือถือระดับล่างเป็นที่นิยมคือพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป แม้เดิมโทรศัพท์มือถืออาจจัดได้ว่าเป็นสินค้าประเภทคงทน แต่ปัจจุบันค่าเฉลี่ยการใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ที่ไม่เกิน 2ปีต่อเครื่องเท่านั้น
สถานการณ์การแข่งขันธุรกิจเครือข่ายมือถือในประเทศไทย เมื่อพูดถึงสถานการณ์การแข่งขันธุรกิจมือถือครบวงจรในประเทศไทย มีผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่3ราย ซึ่งเป็นทั้งผู้ให้บริการเครือข่ายและเป็นตัวแทนจำหน่ายด้วยได้แก่ AIS DTAC TRUEMOVE ในช่วงระยะเวลา10ปีที่ผ่านมาวิวัฒนาการโทรศัพท์มือถือพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากอุปกรณ์สื่อสารเลื่อนฐานะมาเป็นปัจจัยที่5 จนในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเป็นแฟชั่นและเสมือนเป็นเครื่องวัดฐานะอย่างหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามโทรศัพท์มือถือก็ถือเป็นสินค้าคงทน (durable goods) ชนิดหนึ่ง ซึ่งตามทฤษฎีสินค้าคงทนผู้ผลิตจะต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเพื่อให้ผู้บริโภคที่ทีรสนิยมๆได้ซื้อสินค้าที่หลากหลายหรือสินค้าใหม่แต่ผู้ผลิตทั้ง3รายกลับหาทางเลือกอื่นหรือจะเรียกว่าเปลี่ยนสภาพตลาดที่แข่งขันจากตลาดที่แข่งขันอย่างดุเดือด(red ocean)มาแข่งขันในตลาดเกิดใหม่(blue ocean)เพื่อขยายตลาดเพิ่ม ดังนั้นผู้ให้บริการจึงต้องหันมาแข่งขันทางด้านอื่นๆทั้งบริการเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของสัญญาณ promotionค่าโทร บริการเสริมทั้งที่เกี่ยวข้องกับบริการด้านเครือข่าย และ บริการเสริมอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการแข่งขันทางด้านบริการเครือข่ายและบริการเสริมเริ่มเข้าสู่จุดที่ใกล้จะอิ่มตัวแล้วเช่นกันจึงต้องดูกันว่าในอนาคต ผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้ง3รายจะดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับธุรกิจมือถือนี้
โทรศัพท์มือถือจึงเป็นตลาดที่ทำเงินอย่างมหาศาลต่อปี เป็นสินค้าที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นอุปกรณ์ที่อยู่ข้างกายทุกคน ตลอด 24 ชม. ในการดำเนินชีวิต สินค้าที่เป็นทั้งเทคโนโลยีและแฟชั่น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด อย่างเช่นในปัจจุบันแม้กระแสที่ดูเหมือนไม่มีอะไรอย่างคีย์บอร์ดQWERTY ก็สร้างความคึกคัดให้ตลาดมือถือได้เป็นอย่างมากแบรนที่ตื่นตัวและ สามารถปรับตัวส่งสินค้าออกมาครองตลาดได้ก่อน ก็จะกอบโกยกำไรไปอย่างสวยงาม บริษัทที่ไหวตัวจะก็จะพลาดโอกาสที่จะกอบโกยกำไรไป สินค้าที่ปล่อยออกมาช้าในช่วงที่กระแสนิยมเริ่มตก บริษัทก็ต้องแบกรับภาระต่อไปและเมื่อกระแสใหม่โหมเข้ามาทุกคนก็จะกระโจนเข้ามา และเปิดเกมชิงส่วนแบ่งการตลาดกันอีกครั้ง ใครที่ยังไหวก็สู้ต่อไปในเกมหน้า ใครที่หมดแรงก็ต้องถูกเบียดออกไปจากสนามรบอย่างหมดรูปนี่คือสงครามที่พัฒนาจากอุปกรณ์ธรรมดา และยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่รู้จุดจบ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น