วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จีน คาด 3G ดันอุตสาหกรรมโทรคมฯ โต 14% ปีนี้

เอเจนซี-สื่อจีนรายงานการแถลงการณ์ของนายหลี่ ยีว์จง รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและโทรคมนาคมสารสนเทศของจีน วันที่ 22 ธ.ค. ถึงการคาดการณ์ว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมของจีนจะขยายตัวในอัตรา 14% ด้วยจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในจีน 740 ล้านคน จากผู้ใช้โทรศัพท์ทุกระบบที่คาดว่าจะมีทั้งสิ้นกว่า 1,000 พันล้านคนในปีนี้
     
       หลังจากที่จีนพยายามผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยี 3G และออกใบอนุญาตการใช้ฯ และการจัดตั้งเครือข่ายฯอีกทั้งสนับสนุนการบริการที่เกี่ยวข้องฯ เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมทั้งระบบฯ ทำให้คาดว่า ในปีนี้ รายได้ในอุตสาหกรรมโทรคมฯ จะขยายตัวในอัตรา 5%
     
       นอกจากนี้ คาดว่ามูลค่าการลงทุนเทคโนโลยี 3G ของจีน จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 แสนล้านหยวน ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งสถานีเครือข่าย 285,000 แห่ง เพื่อรองรับผู้ใช้บริการ 3G มากกว่า 10 ล้านคน ด้วย
 

จีนทุ่มเงิน 400,000 ล้านหยวนสบับสนุนอุตสาหกรรม 3G

ภาพจาก http://mobile.pconline.com.cn/market/hb/0901/1536420.html
ภาพจาก http://mobile.pconline.com.cn/market/hb/0901/1536420.html
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2553 กระทรวงต่างๆ ของจีนรวม 8 กระทรวงได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาของอุตสาหกรรม 3Gของประเทศจีน พร้อมแสดงความคิดเห็นและข้อแนะนำถึงปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน และแผนพัฒนาในอนาคต รวมทั้งมาตรการต่างๆ ที่จะกระตุ้นกระบวนการพัฒนาของอุตสาหกรรม 3G ในประเทศจีน

จากผลการหารือ ทางการจีนได้กำหนดแผนการพัฒนาอุตสาหกรรม 3Gของประเทศจีนว่า จนถึงปี 2554 เครือข่าย 3G จะครอบคลุมถึงเขตเมืองในจีนทั้งหมด รวมทั้งยังครอบคลุมถึงเขตอำเภอและตำบลส่วนใหญ่ ทางด่วนที่สำคัญ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของจีนด้วย โดยทางการจีนจะใช้เงินงบประมาณในส่วนนี้เป็นมูลค่ากว่า 400,000 ล้านหยวน กำหนดเป้าหมายที่จะสร้างสถานีเครือข่าย 3G ทั้งหมด 400,000 กว่าแ่ห่ง เพื่อให้มีผู้ใช้บริการ 3G ได้ 150 ล้านคน
ตามสถิติ จนถึงเดือน ก.พ. 2553 ที่ผ่านมา จีนมีจำนวนผู้ใช้บริการ 3G ทั้งหมด 16.06 ล้านคน ทั้งนี้ วิสาหกิจโทรคมนาคมรายใหญ่ 3 รายของจีนได้ตั้งเป้าหมายการพัฒนาในธุรกิจ 3G ในปี 2553 นี้ว่า China Unicom จะเพิ่มจำนวนลูกค้า 3G ให้ได้ถึง 10 ล้านคน China Telecom จะเพิ่มจำนวนลูกค้า 3G ให้ได้ 8 ล้านคน ส่วน China Mobile มีเป้าหมายอยู่ที่ 10 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวก็ยังห่างไกลเป้าหมายที่ทางการคาดไว้จำนวน 150 ล้านคนอยู่ค่อนข้างมาก โดยหากต้องการให้เป็นไปตามเป้าหมายแล้ว จีนต้องเพิ่มจำนวนผู้ใช้ถึงปีละ 1 เท่าตัว จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

ทั้งนี้ ทางการจีนจะใช้ความพยายามในการกระตุ้นอุตสาหกรรม 3G อย่างเต็มที่โดยจะรวมพลังจากหน่วยงานทั้งประเทศ เช่น สำนักงานที่เกี่ยวข้องจะกำหนดนโยบายอย่างละเอียดสำหรับการก่อสร้างเครือข่าย 3G ส่วนวิสาหกิจโทรคมนาคมต่างๆ จะคิดค้นสินค้า 3G ที่เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วไปให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังจะสนับสนุนให้สังคมและธุรกิจทุกระดับใช้เทคโนโลยี 3G ในการประกอบกิจกรรมและธุรกิจต่างๆ มากขึ้น โดยที่รัฐบาลจะออกนโยบายพิเศษในการลดภาษีให้อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

comScore เผยส่วนแบ่งตลาดมือถือสหรัฐเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2010


เรื่องตัวเลขส่วนแบ่งตลาดก็มีหลายบริษัทที่เก็บข้อมูลเรื่องนี้ คราวนี้เป็นคิวของ comScore โดยคิดเฉพาะส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐ การนับคิดเป็นรายสามเดือน ตัวเลขคราวที่แล้วดูจากข่าว RIM ยังคงครองอันดับหนึ่งส่วนแบ่งตลาด Smartphone ในอเมริกา
ผู้ผลิตมือถือทุกประเภท
  • ซัมซุงยังเป็นแชมป์ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์มือถือในสหรัฐ ด้วยส่วนแบ่ง 22.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
  • ตามมาติดๆ ด้วย LG กับ Motorola ซึ่งมีส่วนแบ่งลดลงเล็กน้อย
  • อันดับสี่และห้าคือ RIM กับ Nokia
ระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน
  • ผู้ใช้สมาร์ทโฟนสหรัฐเพิ่มขึ้น 8.1% จากรอบสามเดือนก่อน
  • RIM ยังเป็นแชมป์เช่นเดิม ส่วนแบ่งลดลง
  • ห้าอันดับแรกส่วนแบ่งตลาดลดกันหมด มี Android เพิ่มอยู่เจ้าเดียว
สำหรับผู้ที่สงสัยเรื่อง iPhone ลด ทาง comScore ได้อธิบายว่าตัวเลขนี้คือเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ซึ่ง iPhone 4 ยังไม่ออก และมีข่าว iPhone 4 ของ Gizmodo ให้ทั้งโลกรู้ว่ารุ่นใหม่กำลังจะมาอีกด้วย

ภาพข่าว: แอลจี เผยทิศทางกลุ่มธุรกิจมือถือปี 2554 ชูกลยุทธ์บุกตลาดด้วยนวัตกรรม ตั้งเป้าขึ้นแท่นท็อปทรีภายในปีนี้

ภาพข่าว: แอลจี เผยทิศทางกลุ่มธุรกิจมือถือปี 2554 ชูกลยุทธ์บุกตลาดด้วยนวัตกรรม ตั้งเป้าขึ้นแท่นท็อปทรีภายในปีนี้

นายสมศักดิ์ อธิศัยตระกูล (ซ้ายสุด) ผู้จัดการอาวุโส และ นายณัฐวัชร์ ศิริวงศ์ศาล (ยืนกลาง) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถ่ายภาพกับ LG Optimus Series และ LG Wink Series
บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศทิศทางและกลยุทธ์กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือในปี 2554 มุ่งนำเสนอนวัตกรรมที่ก้าวล้ำเพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานรูปแบบใหม่สู่ผู้บริโภค เตรียมส่งสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟนหลากรุ่นรุกตลาดตลอดปี ตั้งเป้าขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดมือถือภายในปีนี้

ในปี 2554 แอลจีจะมุ่งเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนท์ ด้วยการนำเสนอมือถือทั้งในกลุ่มสมาร์ทโฟนและฟีเจอร์โฟนหลากรุ่น ภายใต้ชื่อ LG Optimus Series และ LG Wink Series โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนนั้นจะมาพร้อมนวัตกรรมล่าสุด อาทิ สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่ใช้หน่วยประมวลผล Dual Core และสมาร์ทโฟนที่มีจอภาพสว่างที่สุดในโลก ส่วนในด้านกิจกรรมการตลาดจะเน้นกลยุทธ์สร้างความชื่นชอบในตัวสินค้า (Emotional approach) และการสื่อสารถึงคุณประโยชน์ (Functional approach) ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ทั้งแคมเปญออนไลน์ และการขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น รวมทั้งความร่วมมือกับผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือในการจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมพิเศษสำหรับลูกค้า
ทั้งนี้ด้วยกลยุทธ์ในการนำเสนอมือถือที่มาพร้อมนวัตกรรมล่าสุด และกิจกรรมการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด แอลจีเชื่อมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายในการเป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดมือถือภายในปี 2554 ได้อย่างแน่นอน

ตลาดมือถือไตรมาส3ชะลอตัวแต่ยอดสมาร์ทโฟนยังพุ่งไม่หยุด

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าตลาดโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่สุดมีการขยายตัวในปีนี้ หลังจากในปี 2552 ทำยอดขายได้ตกต่ำลงเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจส่งผลให้ผู้บริโภคทั่วโลกลดค่าใช้จ่ายในส่วนการซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอ-นิกส์ลง บริษัท สแทรทิจี อนาไลติกส์ฯกล่าวว่า ตลาดโทรศัพท์มือถือในไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 ขยายตัวในอัตรา13% ต่อปี ลดลงจาก 16% ในช่วงครึ่งแรกของปีอีกทั้งคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 การขยายตัวจะอยู่ที่ 10%
นีล มอว์สตัน นักวิเคราะห์จากสแทรทิจี อนาไลติกส์ ให้เหตุผลถึงการขยายตัวที่ลดลงว่ามาจากการขาดแคลนส่วนประกอบในการผลิตและความอ่อนไหวของสภาพเศรษฐกิจ”เราคาดหวังว่าการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นของสมาร์ทโฟนจะเป็นผลในด้านบวกต่อยอดขายโทรศัพท์มือถือในไตรมาสที่ 4 แต่ซัพพลายที่ไม่แน่นอนของชิ้นส่วนบางประเภทจะหมายถึงผู้ผลิตบางรายไม่สามารถผลิตโทรศัพท์ออกสู่ตลาดได้ตามเป้าหมาย”
ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลายรายรวมทั้งโนเกียและโซนี่ อีริคสัน กล่าวว่าการขาดแคลนชิ้นส่วนฉุดยอดขายของบริษัทในไตรมาสล่าสุดให้ต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเจฟฟ์ แบลเบอร์ นักวิเคราะห์จากซีซีเอส อินไซต์กล่าวว่าวัตถุดิบในการผลิตน่าจะยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่องไปสู่ไตรมาส4 เนื่องจากสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แท็บเลตจำนวนมากที่ต่อคิววางตลาดจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับซัพพลายด้านชิ้นส่วน
ขณะเดียวกันตลาดสมาร์ทโฟนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่3ด้วยยอดขายไอโฟนของบริษัทแอปเปิลฯเพิ่มขึ้น91%จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนทำให้ในเวลานี้แอปเปิลก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ4ของโลกในแง่ของยอดขายเครื่องโทรศัพท์และนับตั้งแต่ปี2552แอปเปิลเป็นบริษัทที่ทำอัตรากำไรได้สูงสุดในอุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือ
“การเข้ามาเป็น 1 ใน 5 ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของแอปเปิลยิ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของสมาร์ทโฟนในตลาดโทรศัพท์มือถือโดยรวม” เควิน เรสทิโวนักวิเคราะห์จากไอดีซีให้ความเห็นไอดีซีคาดหมายว่าตลาดสมาร์ทโฟนในปีนี้จะเติบโตขึ้น 55% จากปีก่อน
โซนี่ อีริคสัน และโมโตโรล่า ต่างได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแนวทางโดยเน้นไปที่สมาร์ทโฟนในไตรมาสนี้อย่างไรก็ตามยอดขายโดยรวมของทั้งคู่หดตัวอย่างมากจากปีก่อนเนื่องจากทั้งสองบริษัทขายโทรศัพท์รุ่นที่มีราคาถูกลง
ในบรรดาผู้ผลิตรายใหญ่3 อันดับแรก มีเพียงซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตขนาดใหญ่อันดับ 2 ที่มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่แอลจี อิเล็กทรอนิกส์ และผู้นำตลาดอย่างโนเกียมีส่วนแบ่งตลาดที่ลดลงในไตรมาส3 นอกจากนี้ธุรกิจสมาร์ทโฟนของซัมซุงที่เป็นตัวฉุดผลประกอบการในครึ่งแรกของปี ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยคิดเป็น 11% ของยอดขายโทรศัพท์มือถือทั้งหมดของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 2%ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เทโร คุยทิเนน นักวิเคราะห์จากเอ็มเคเอ็ม พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่ายอดขายของผู้ผลิตโทรศัพท์ชั้นนำ ทั้งโนเกีย แอลจี และโซนี่ อีริคสัน อ่อนแออย่างผิดคาด”ผู้ผลิตเหล่านี้โทษการขาดแคลนชิ้นส่วนว่าทำให้ยอดขายลดลงแต่ยังมีคำถามคงอยู่ว่าผู้ผลิตโทรศัพท์แบรนด์เนมอาจจะกำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับผู้ผลิตโทรศัพท์ราคาถูกไม่มีชื่อ”
มอว์สตันกล่าวว่านับเป็นไตรมาสที่9 ติดต่อกันแล้วที่อัตราการเติบโตของโนเกียต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโนเกียเป็นผู้นำในตลาดโลว์เอนด์มาเป็นเวลาหลายปีครอบครองส่วนแบ่งไว้มากกว่า 50% ของตลาดล่างแต่นักวิเคราะห์มองว่าผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจากฟินแลนด์รายนี้กำลังถูกกดดันจากคู่แข่งสัญชาติจีน ชื่อ แซดทีซี โดยเฉพาะในตลาดประเทศกำลังพัฒนาในกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่

Samsung One ฉลองตำแหน่งนัมเบอร์วันตลาดมือถือไทย

ซัมซุงประกาศความสำเร็จต้อนรับปีเสือขึ้นแท่นคว้าแชมป์เบอร์หนึ่งตลาดโทรศัพท์มือถือประเทศไทยด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดล่าสุดกว่า 33% นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การทำตลาดโทรศัพท์มือถือประเทศไทย สร้างความสำเร็จได้ภายในระยะเวลาเพียงสองปีภายหลังจากการปรับโครงสร้างการจัดจำหน่าย พร้อมสานต่อกลยุทธ์การเข้าถึงผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์ด้วยผลิตภัณฑ์หลากหลายทุกระดับ สร้างเทรนด์โทรศัพท์มือถือปีนี้ด้วยสมาร์ทโฟนจากหลากหลายแพลตฟอร์มเพิ่มอิสระอีกขั้นสำหรับ คอแอพพลิเคชันพร้อมเน้นการขยายประสบการณ์ Social Networking สู่กลุ่มผู้ใช้ที่กว้างขึ้น มั่นใจรักษาตำแหน่งแชมป์ตัวจริงต่อเนื่องตลอดปี
ข้อมูลมือถือ Samsung One : http://www.siamphone.com/catalog/samsung/one.htm
นายมนาเทศ อันนวัฒน์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด ธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า “หลังจากที่ซัมซุงได้มีการปรับโครงสร้างการจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือมาเป็นระยะเวลากว่าสองปี วันนี้ซัมซุงได้บรรลุเป้าหมายอันสำคัญในการเป็นผู้นำอันดับหนี่งตลาดโทรศัพท์มือถือด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 33% จากผลสำรวจล่าสุดโดยสถาบันวิจัยการตลาดจีเอฟเคในเดือนพฤศจิกายน นับเป็นครั้งแรกในการทำตลาดในประเทศไทยที่ซัมซุงสามารถขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตลาดได้สำเร็จเป็นไปตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่  ต้นปีผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของซัมซุงในการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยี การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภคได้ในทุกรูปแบบไลฟ์สไตล์”
ซัมซุงเริ่มทำการตลาดโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542 ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์สวยและฟังก์ชันการทำงานที่เป็นเลิศ ทั้งยังเป็นผู้สร้างและผู้นำเทรนด์โทรศัพท์มือถือให้เกิดขึ้นมาตลอดระยะเวลาการทำตลาด อาทิ โทรศัพท์มือถือหน้าจอสี โทรศัพท์มือถือแบบฝาพับ โทรศัพท์มือถือแบบสไลด์ คาเมร่าโฟน หรือแม้กระทั่งทัชโฟนที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันซึ่งได้กลายเป็นเทรนด์การใช้โทรศัพท์มือถือที่ได้รับการตอบรับในหมู่ผู้บริโภควงกว้างและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคในทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างดีที่สุด
“ในก้าวต่อไปของการทำตลาดโทรศัพท์มือถือ ซัมซุงยังคงเจตนารมย์ในการมอบประสบการณ์ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้บริโภคด้วยโทรศัพท์มือถือดีไซน์สวยผสานเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคตตามแนวคิด Turn on Tomorrow พร้อมกลยุทธ์การตลาดหลักสี่ประการได้แก่ 1) การมอบนวัตกรรมโทรศัพท์มือถือที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ 2) เติมเต็มประสบการณ์ใช้งานตามไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ด้วยคอนเทนต์และแอพพลิเคชันที่หลากหลาย 3) การมุ่งเน้นความเป็นเลิศทางด้านการตลาดที่ครบวงจรด้วยการเพิ่มสัดส่วนการสื่อสารทางด้าน Above-the-Line ให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง และ 4) การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพด้วยการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยวางแผนการเดินตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งและสร้างการเติบโตในธุรกิจมือถือต่อไป”
สำหรับในปี พ.ศ. 2553 นี้ ซัมซุงวางแผนรักษาความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดโทรศัพท์มือถือโดยเน้นการนำเสนอนวัตกรรมโทรศัพท์มือถือที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายเทรนด์การใช้งานให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคในวงกว้างด้วยตัวเลือกที่แตกต่างเหมาะสมกับการใช้งานหลากหลายประเภท ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นทางด้านเทคโนโลยีทันสมัยแห่งอนาคตที่พร้อมจะสร้างความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนที่จะมาพร้อมกับแพลตฟอร์มการใช้งานอันหลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งวินโดวส์ โมบายล์ ลิโม แอนดรอยด์ และบาดา ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือใหม่ล่าสุดที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นเองเพื่อรองรับการใช้งานแอพพลิเคชันอิสระให้มีความสะดวกสบายและหลากหลายมากยิ่งขึ้นที่จะเป็นเทรนด์ล่าสุดสำหรับวงการมือถือทั่วโลกในปีนี้ ทั้งยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่รองรับการใช้งาน Social Networking เพื่อการติดต่ออัพเดท ไลฟ์สไตล์ของสังคมออนไลน์ซึ่งจะมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
“นอกจากนี้การทำตลาดในปีนี้ซัมซุงยังเน้นการขยายกลุ่มลูกค้าไปยังระดับที่กว้างขึ้นโดยได้แนะนำทัชโฟนสไตล์เท่รุ่นไฮไลต์ประจำปีนี้ ได้แก่ ซัมซุง วัน (Samsung One) ทัชโฟนสมบูรณ์แบบใหม่ล่าสุด เพื่อขยายประสบการณ์ทัชโฟนและ Social Networking ให้เป็นไปได้สำหรับทุกคนในราคา เพียง 4,290 บาท ซัมซุงวางเป้าหมายให้ ซัมซุง วัน เป็นทัชโฟนเครื่องแรกของที่จะดึงดูดให้ผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ทัชโฟนกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้ทัชโฟนเป็นครั้งแรก” นายมนาเทศกล่าวสรุป

ตลาดมือถืออัจฉริยะจะแซงพีซี

วิวัฒนาการเทคโนโลยีไวกว่าที่คิด มือถืออัจฉริยะที่มีความสามารถแบบพีซี เพิ่งเปิดตัวได้ไม่เกิน 2-3 ปี เท่านั้น แต่มีคนนิยมใช้เริ่มจะแซงพีซีที่ใช้ตามบ้านเสียแล้ว
เมื่อตอนที่เปิดตัวไอโฟนครั้งแรกเมื่อ 2-3 ปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นมือถืออัจฉริยะรุ่นแรกที่มีความสามารถเทียบเคียงกับพีซีแต่สามารถติดตัวไปได้ เพื่อใช้เป็นทั้งโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ดูหนัง ฟังเพลงได้ ต่อมาไม่นานก็มีการเปิดตัวของแบล็คเบอร์รี่ และก็ตามมาด้วยตัวแอนดรอยด์ของกูเกิล ปริมาณการขายของมือถืออัจฉริยะเหล่านี้ในท้องตลาดก็เติบโตอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
มาคำนวณดูตัวเลขของพีซี หรือคอม พิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการหรือโอเอส (OS-Operating System) 3 ยี่ห้อคือ วินโดว์ส แมค และลีนุกซ์ ก็จะมีปริมาณการขายทั่วโลก 900,000 เครื่องต่อวัน แต่ถ้าหากจะนับระบบปฏิบัติการแบบเคลื่อนที่ก็จะมีแอน ดรอยด์ โอเอส วินโดว์สโมไบล์ ลีนุกซ์ พาล์ม และอื่น ๆ รวมกันแล้วก็จะเป็นมือถืออัจฉริยะทั้งสิ้นกว่า 800,000 เครื่องต่อวันในขณะนี้
หรือมาดูตัวเลขรายงานล่าสุดของไอดีซี ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมานี้เอง พีซีขายได้ 81 ล้านเครื่อง เฉลี่ยก็จะเป็น 887,000 เครื่องต่อวัน ส่วนมือถืออัจฉริยะนั้นขายได้ 64 ล้านเครื่อง คิดเป็น 713,000 เครื่องต่อวัน นอกจากนี้แอนดรอยด์ ซึ่งเป็นปฏิบัติการระบบเปิด ซึ่งกูเกิลได้นำมาใช้ประยุกต์กับมือถืออัจฉริยะก่อนใคร ล่าสุดอีริค ชมิตท์ ซีอีโอ ของกูเกิลได้กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 3 ที่จะถึงนี้จะขายได้ถึง 200,000 เครื่องต่อวัน หรือ 18 ล้านเครื่องต่อไตรมาส และแอปเปิ้ลซึ่งขายไอโฟนเจ้าเก่าประมาณการว่าในไตรมาสที่ 3 นี้ จะขายได้มากกว่า 11 ล้านเครื่องแน่นอน
กรณีของแอปเปิ้ล ไม่นับรวมไอแพดส์ (iPads) และไอพอด (iPod) ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้นิ้วสัมผัสเพราะเป็นได้ทั้งมือถืออัจฉริยะหรือว่าพีซีก็ได้ แต่ถ้าจะนับถือเครื่องมือทั้งสองว่าเป็นมือถืออัจฉริยะ ก็จะมีอีกถึง 10 ล้านเครื่องในไตรมาสหน้า
เดลและซัมซุงก็กำลังซุ่มที่จะทำเครื่องมืออัจฉริยะชนิดใหม่ออกสู่ตลาดโดยใช้ระบบปฏิบัติการเปิดของแอนดรอยด์
ทางไอดีซีได้ประมาณการว่า ไตรมาส หน้านี้ (3) อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่มือถืออัจฉริยะจะไล่ตามพีซีทัน จะทำให้ตั้งแต่ปีหน้าหรือ ค.ศ. 2011 เป็นต้นไป มือถืออัจฉริยะจะแซงพีซี
ในอนาคตอาจเป็นไปได้ว่า มือถืออัจฉริยะและเครื่องมือประเภทแท็บเลต (Tab let) จะอยู่ในมือของทุกคนในโลก แต่บอสใหญ่ของแอปเปิ้ล คือ สตีฟ จ็อบส์ บอกว่าอาจจะเป็นไปได้แต่คงใช้เวลา ซึ่งคาดว่าอีกสัก 2-3 ปีข้างหน้า พีซีจะค่อย ๆ  หมดไปจากโลกนี้ได้ หรือท่านผู้อ่านคาดว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับเกมมือถืออัจฉริยะกับพีซี.

ไอเน็ต บุกตลาดมือถือผ่านดาวเทียม

ไอเน็ตบุกตลาดมือถือผ่านดาวเทียม เปิดตัว IsatPhone Pro แตกต่างอย่างเหนือชั้น เครื่องแรกที่ใช้ระบบ Inmarsat เพื่อการสื่อสารที่แม่นยำและครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลก เสียงคมชัด...
บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด(มหาชน) หรือไอเน็ต ร่วมกับ สิงคโปร์ เทเลคอม มูนิเคชั่นส์ ลิมิเต็ด หรือ ซิงเทล นำเข้าสุดยอดนวัตกรรมแห่งอนาคต IsatPhone Pro โทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านสัญญาณดาวเทียมเครื่องแรกที่ใช้ระบบ Inmarsat เพื่อการสื่อสารที่แม่นยำและครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วโลก ด้วยคุณภาพเสียงคมชัด เหมาะสำหรับนักธุรกิจที่ต้องเดินทางระหว่างประเทศตลอดเวลา และผู้ที่ต้องการความมั่นใจว่าจะไม่พลาดการสื่อสารทุกสถานการณ์
นอก เหนือไปจากอัตราค่าโทรสุดคุ้ม ตัวเครื่อง IsatPhone Pro ยังมีคุณสมบัติพิเศษรองรับระบบรับส่งอีเมล์ บลูทูธ และสามารถใช้งานได้มากถึง 8 ภาษา  อีกทั้งยังป้องกันฝุ่น น้ำ รวมถึงการสั่นสะเทือนได้ (IP54)  นอกจากนี้ยังสามารถสนทนาต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ชั่วโมงและเปิดเครื่องรอรับสายนานสูงสุดถึง 100 ชั่วโมง เพื่อให้คุณมั่นใจว่าการสนทนาของคุณจะต่อเนื่องไม่ขาดช่วง

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เมื่อ TAG Heuer มาพร้อมกับ Lamborghini ในโทรศัพท์มือถือ


ในขณะที่ตลาดมือถือกำลังเห่อมือถือที่เน้นเทคโนโลยี อย่าง Smartphone หรือ Touchphone อีกด้านของอุตสาหกรรมมือถือก็มี มือถือที่ไม่เน้นความไฮเทค แต่เน้นเรื่องของแบรนด์ เรื่องของความหรูหรา อย่างในอดีตเราเคยรู้จัก Vertu ของ Nokia มาก่อน ต่อมาก็มีการนำแบรนด์ของสินค้าประเภทอื่นที่มีความโดดเด่นเช่น อาร์มานี่ มาใช้กับมือถือ มาคราวนี้ มือถือเครื่องที่เห็นในรูป พกความมั่นใจในแบรนด์ ความหรูหรา ถึงสองชั้น โดยเป็นการรวมแบรนด์ TAG Heuer และ Lamborghini ไว้ด้วยกัน
ตัวโทรศัพท์เองมีกล้อง 2 ล้านพิกเซลติดมาด้วย หน้าจอเป็นแซฟไฟร์ คริสตัลขนาด 1.9 นิ้ว มีความสามารถการติดต่อบลูทูธ ใช้พูดคุยได้นาน 7 ชั่วโมง และเปิดเครื่องรอรับสายได้ 28 วัน และหน่วยความจำภายใน 2 GB  พร้อมจำหน่ายในเดือนนี้ ที่ร้านแท็ค ฮอยเออร์ และ ร้านลัมโบกินี

แผนธุรกิจมือถือgoogleใกล้มาแล้ว

เกิล ยักษ์ใหญ่บนโลกอินเตอร์เน็ตขยับตัวอีกแล้ว คราวนี้เป็นการประกาศย้ำจุดยืนของตนอีกครั้งในแผนที่จะเข้าร่วมยื่นซองประกวดราคาชิงคลื่นความถี่ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะจัดประมูลในเร็ววันนี้ ซึ่งแน่นอนเมื่อยักษ์ขยับ คู่แข่งทั้งใหญ่-เล็กย่อมสะเทือนไปทั้งวงการสื่อสารไร้สาย แม้ว่าการประกาศร่วมประมูลคลื่นความถี่ที่จัดโดยคณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติ (เอฟซีซี) ในวันที่ 24 มกราคม ปีหน้าจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ที่ออกจะเป็นเซอร์ไพรซ์เล็กๆ คือ เกิลประกาสจะลุยเดี่ยวโดยไม่พึ่งมือพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมสื่อสารไร้สายเลย


หากแต่การทุ่มทุนด้วยตัวเองออกจะแพงและมีความเสี่ยงอยู่มาก แม้กระทั่งกับบริษัททุนหนาและมีเทคโนโลยีไฮเทคอย่างเกิล (ซึ่งประกาศรายได้เมื่อสิ้นสุดในเดือนกันยายนอยู่ที่ราวๆ 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ก็ตาม เนื่องจากการประมูลคลื่นความถี่ 700 เมกะเฮิร์ตซ์ที่เกิลหมายมั่นจะครอบครองให้ได้ คาดว่าจะมีราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่นักวิเคราะห์ฟันธงว่าราคาสิ้นสุดน่าจะสูงมากกว่านี้มาก ไม่นับรวมต้นทุนวางเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเบื้องต้นของนายไมเคิล โรลลินส์ นักวิเคราะห์จากซิตี้กรุ๊ป โกลบอล มาร์เก็ตส์มองว่าอาจใช้งบอีกราว 5,000-7,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 


กระนั้น ที่เกิลไม่สะทกสะท้านน่าจะเป็นด้วยคุณสมบัติของคลื่นความถี่ที่ท่องไปในระยะทางไกลและผ่านทะลุกำแพงได้ง่าย จึงเป็นข้อได้เปรียบไม่ต้องติดตั้งเสาวิทยุถี่นัก ทั้งความแรงในการเชื่อมต่อกับเครือข่ายไร้สายอื่นก็ยังคงประสิทธิภาพได้ดีไม่มีตก ดังนั้นใครก็ตามที่เป็นผู้ชนะประมูลย่อมอยู่ในสายตาของเกิลที่เลือกจะลุยตลาดอุปกรณ์และซอฟต์แวร์โทรศัพท์มือถืออย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเกิลคงไม่ล็อบบี้เอฟซีซีให้เลือกใช้เงื่อนไข "การเข้าถึงแบบเปิด" ในการประมูลครั้งนี้ โดยอ้างว่าผู้บริโภคไม่ควรถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของตลาดในปัจจุบันที่จำกัดเพียงโทรศัพท์มือถือบางประเภทที่จะใช้งานบนเครือข่ายไร้สายได้ แต่ผู้บริโภคสมควรมีทางเลือกจากการแข่งขันและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีมากกว่าในโลกไร้สายปัจจุบัน ซึ่งเกิลได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนออกมารองรับการสื่อสารไร้สายในวันข้างหน้าด้วยระบบซอฟต์แวร์แอนดรอยด์สำหรับสมาร์ทโฟนยุคหน้า ซึ่งคาดว่าเครื่องรุ่นแรกที่ใช้ซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะออกมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 


อย่างไรก็ตาม ความกระตือรือร้นของเกิลที่จะเข้าถึงเครือข่ายไร้สายยังสะท้อนถึงแผนธุรกิจของเกิลที่วางเป้าให้ตลาดโทรศัพท์มือถือเป็นแหล่งทำรายได้แห่งใหม่ที่ยังไม่เคยรุกเข้าไปเนื่องจากมีผู้ให้บริการสื่อสารไร้สายยักษ์ใหญ่หลายรายขวางลำจากกฎเกณฑ์การเข้าถึงเครือข่าย แต่เกิลก็เชื่อว่าหากพัฒนาแพล็ตฟอร์มที่เปิดกว้างสำหรับอุปกรณ์และซอฟต์แวร์สื่อสารไร้สายได้มากกว่านี้ ผู้บริโภคน่าจะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือบ่อยขึ้น และนั่นย่อมหมายถึงรายได้โฆษณาบนอินเตอร์เน็ตที่จะหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจเกิลอีกทางหนึ่ง 


นายมาร์ก มาฮานีย์ นักวิเคราะห์ตลาดอินเตอร์เน็ตของซิตี้กรุ๊ป โกลบอล มาร์เก็ตส์ ประเมินว่าเกิลน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2553 แค่เพียงผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในเวลานั้นซึ่งคาดว่าจะมีถึง 4 พันล้านคนทั่วโลกใช้บริการค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือเพียงครั้งเดียวต่อเดือน เทียบกับรายได้ในปีนี้ของเกิลซึ่งคาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 


ที่สำคัญการเข้าสู่โลกไร้สายของเกิลยังเป็นอีกช่องทางที่ทำให้เกิลสอดแทรกตัวเข้าไปในตลาดที่บริการค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์ของตนยังตกหล่นอยู่ โดยเฉพาะญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการขยายธุรกิจของเกิลสู่โลกไร้สายนั่นเอง  
 

Samsung come back ธุรกิจมือถือโตสวนกระแส

samsung-mobile

ซัมซุงประกาศความสำเร็จ เกณฑ์ส่วนแบ่งตลาด 20% ตามคาดหมาย ดันยอดขายแตะ 2 ล้านเครื่อง โตขึ้น 63 % เผยสาเหตุความสำเร็จ “ปรับโมเดลขาย” ผสม นวัตกรรมมือถือที่เหนือใครในตลาด
ตลาดเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ นับเป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงไม่แพ้ตลาดการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ถึงแม้ว่า ผู้นำตลาดอย่าง “โนเกีย” จะทิ้งช่องว่างทั้งส่วนแบ่งทางการตลาดและมูลค่าตลาดทิ้งห่างคู่แข่งเบอร์ 2 เบอร์ 3 ในตลาดค่อนข้างมาก แต่สำหรับช่องว่างตลาดเบอร์ 2 กับเบอร์ 3 แล้วถือว่าไม่ห่างกันมากนัก จึงทำให้เป็นเป้าหมายสำคัญที่แบรนด์มือถือทุกค่ายต่างหมายปอง
โดยเฉพาะ “ซัมซุง” เมื่อ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ ยุคที่บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ใช้กลยุทธ์ขยายตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายควบคู่กับการทำตลาดเอง สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดในเครื่องลูกข่ายระดับไฮเอนด์ขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 แซงหน้าคู่แข่งแบรนด์ดังจากยุโรป
แต่หลังจากที่ “ซัมซุง” มีการปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารภายใน โดยการปรับทีมผู้บริหารจากคนไทยมาอยู่ในมือทีมผู้บริหารเกาหลีเข้ามารับผิดชอบ ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของซัมซุงตกลงอยู่ช่วงหนึ่ง และปัญหายิ่งรุกรานมากขึ้น เมื่อเกิดปัญหากับตัวแทนจำหน่าย จนถึงขั้นฟ้องร้องกัน ส่งผลให้ตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดของซัมซุงในประเทศไทยทรุดตัวอย่างมาก จากเดิมที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในระดับ 2 ดิจิเหลือเพียง 1 ดิจิ ส่งผลให้ซัมซุงตกบัลลังก์เบอร์ 2 ในเครื่องระดับไฮเอนด์ไปอยู่อันดับ 4-5
ดูเหมือนว่า เรื่องร้ายกลายเป็นดีในภายหลัง เมื่อทางบริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ ได้ทำการปรับเปลี่ยนโมเดลการทำตลาดจากขายผ่านตัวแทนจำหน่ายมาเป็นขายตรงแทน
ควัง คี ปาร์ค กรรมการผู้จัดการ Thai Samsung Electronics กล่าวว่า ตลอดปี 2551 ที่ผ่านมา ซัมซุงได้มีการทำการตลาดโทรศัพท์มือถืออย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยมีการพัฒนาเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือให้ก้าวล้ำนำเทรนด์อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่นวัตกรรมโทรศัพท์มือถือสำหรับการใช้งานทั่วไป จนกระทั่งคุณสมบัติการใช้งานเฉพาะตัวขั้นสูง อาทิ กล้องดิจิตอลความละเอียดสูงที่สุดในตลาดมือถือ หรือหน้าจอระบบสัมผัสที่มีลูกเล่นเพื่อการใช้งานอย่างครบครัน เพื่อครองความเป็นผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ (Innovation Leadership) อย่างแท้จริง
“ในปีที่ผ่านมา ซัมซุงประสบความสำเร็จในการทำตลาดโทรศัพท์มือถือเป็นอย่างสูง เนื่องจากโทรศัพท์มือถือซัมซุงสามารถคว้าชัยครองส่วนแบ่งตลาดได้ 20% ตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยมีอัตราเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา 63 % โดยในปีนี้โทรศัพท์มือถือซัมซุงสามารถทำยอดขายได้กว่า 2 ล้านเครื่องหรือกว่า 170,000 เครื่องต่อเดือน คิดเป็นมูลค่ายอดขายถึง 6,000 ล้านบาท นับว่าเป็นการเติบโตชนิดก้าวกระโดดที่สวนกระแสเศรษฐกิจในขณะนี้ และแตกต่างจากผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายอื่นๆ ที่มีพื้นที่ส่วนแบ่งในตลาดลดลง”
สาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์มือถือซัมซุงสามารถครองอันดับ 2 ของประเทศในระยะเวลาอันรวดเร็วนั้น เป็นผลจากการให้ความสำคัญกับการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี และมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกครบทุกความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มทุกไลฟ์สไตล์ ซึ่งซัมซุงได้จัดกลุ่มผู้บริโภคออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ สไตล์ (Style) มัลติมีเดีย (Multimedia) อินโฟเทนเมนต์ (Infotainment) ธุรกิจ (Business) คอนเนกต์ (Connected) และเอสเซนเชียล (Essential)
ประกอบกับการคิดค้นและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ต่ำกว่าปีละ 40 รุ่น ทั้งยังมีความล้ำหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นรายแรกๆ ของตลาด อาทิ โทรศัพท์มือถือที่รองรับระบบ 3G และการเป็นผู้นำในส่วนโทรศัพท์มือถือระบบหน้าจอสัมผัสหรือทัชสกรีนที่ได้แนะนำสู่ตลาดประเทศไทยหลายรุ่น ได้แก่ จิออร์จิโอ อาร์มานี-ซัมซุง แฟชั่นโฟนสุดหรู, “ซัมซุง เอฟ480″ โทรศัพท์มือถือระบบหน้าจอสัมผัสเต็มรูปแบบ และ “ซัมซุง ออมเนีย” หรือ ไอ900 มาสเตอร์พีซโทรศัพท์มือถือระบบสัมผัสที่ดีที่สุดแห่งยุค
ปัจจุบันซัมซุงทำผลงานได้เป็นอันดับ 1 ในตลาดมือถือระบบสัมผัส รวมไปถึงการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือพร้อมกล้องดิจิตอลด้วยการส่ง “Samsung INNOV8″ โทรศัพท์มือถือพร้อมกล้อง 8 ล้านพิกเซลตัวแรกของโลก, “Samsung Pixon” โทรศัพท์มือถือพร้อมกล้องดิจิตอลความละเอียด 8 ล้านพิกเซลระบบสัมผัสที่บางที่สุด และ “ดี980″ สุดยอดทัชสกรีนโฟน ระบบ 2 ซิมการ์ด (Dual SIM) ที่พร้อมตอบสนองการใช้งานทั้งในเรื่องส่วนตัวและติดต่อธุรกิจภายในเครื่องเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ

“โซนี่ อิริคสัน” ปฏิวัติวงการมือถือ ปั้นเซกเมนต์ใหม่ “การสื่อสาร-บันเทิงเต็มรูปแบบ” เปิดตัว 3 รุ่นใหม่ SATIO , AINO และ YARI ชูจุดขาย “HARDWARD เด่น CONTENT ครบ”

 
สิงคโปร์ - เมื่อเร็วๆ นี้ โซนี่ อิริคสัน ประกาศแผนกลยุทธ์การตลาดสำหรับไตรมาส 4 ปี 2552 ภายในงานแถลงข่าวครั้งใหญ่ระดับภูมิภาค ณ เรดดอท มิวเซียม ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งการแถลงข่าวครั้งนี้ นับเป็นการปฏิวัติวงการตลาดมือถือของทั้งภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ด้วยการนำเสนอคอนเซ็ปต์ของมือถือที่รวมความบันเทิงทุกรูปแบบอย่างไม่มีขีดจำกัด (ENTERTAINMENT UNLIMITED) ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงจาก ภาพ, เสียง, ภาพเคลื่อนไหว และเกมส์ ด้วยการพัฒนาตัวเครื่องให้รองรับการใช้งาน มัลติมีเดีย ได้อย่างยอดเยี่ยม และนับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมมือถือที่สามารถดึงเนื้อหาของความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น ภาพยนตร์เรื่องใหม่ล่าสุด, มิวสิค วีดิโอ, เกมส์สนุกๆ มาอัดแน่นในโทรศัพท์มือถือได้อย่างเต็มอิ่ม 
มร. ฮิโรกาซุ อิชิซูกะ ประธานฝ่ายองค์กรและหัวหน้าตลาดภูมิภาคเอชีย แปซิฟิก บริษัท โซนี่ อิริคสัน กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ตกลงร่วมมือกับ 2 ค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของโลก ได้แก่ โซนี่ พิคเจอร์ส และ โซนี่ มิวสิค ในการนำเสนอเนื้อหาความบันเทิงอันหลากหลาย อาทิ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากบ๊อกซ์ออฟฟิศ, มิวสิค วีดิโอสุดฮอต, เพลงฮิตจากศิลปินดัง และเกมส์มันส์ๆ มาให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินและมีความสุขผ่านเครื่องโทรศัพท์มือถือที่มีคุณสมบัติในการให้ความบันเทิงทั้งระบบภาพและเสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุด”
    
โทรศัพท์มือถือ 3 รุ่นใหม่สุดไฮเอนด์ที่ทาง โซนี่ อิริคสัน ได้เตรียมเปิดตัวในไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 จะมาในชื่อรุ่นแบบใหม่ อันได้แก่ “รุ่นซาติโอ” (SATIO) , “รุ่นไอโน” (AINO) และ “รุ่นยาริ” (YARI) ซึ่งทุกๆ รุ่นจะนำเสนอความบันเทิงอันหลากหลายเต็มรูปแบบแห่งโลกบันเทิงทั้งภาพและเสียง ทำให้การเรียกชื่อรุ่นจะไม่เน้นว่าเป็น วอล์คแมน โฟน (W) หรือ ไซเบอร์ ชอท โฟน (C) อีกต่อไป
    
"โซนี่ อิริคสัน 3 รุ่นใหม่นี้เป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่เป็นเซกเมนต์ใหม่ จากที่เคยแบ่งเป็นเซกเมนต์ วอล์กแมน โฟน, เซกเมนต์ ไซเบอร์ช็อต โฟน แต่กลยุทธ์ใหม่นี้จะเป็นการนำข้อได้เปรียบของความบันเทิงที่หลากหลายมาผสมผสานความเป็นหนึ่งแต่ละเซกเมนต์ไว้ในเครื่องเดียว โดยเรียกชื่อใหม่ว่าเป็นเซกเมนต์ “การสื่อสาร-ความบันเทิงเต็มรูปแบบ” (COMMUNICATION ENTERTAINMENT FOCUS) จุดนี้เองจึงทำให้ทางโซนี อิริคสันเปลี่ยนกลยุทธ์โดยการใช้ชื่อใหม่ที่เป็นชื่อเฉพาะ" มร. ฮิโรกาซุ เปิดเผยเพิ่มเติม
    
  
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังเสนอความหลากหลายของความสะดวกสบายของการใช้งานให้มีตัวเลือกทั้งระบบทัช โฟน, กึ่งทัช โฟน และ ไม่ใช่ทัชโฟน ให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้งานได้ตามความถนัดและความต้องการ โดยจุดเด่น และไฮไลท์ของทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ :
  
• “รุ่นซาติโอ” (SATIO) – โทรศัพท์ระบบสัมผัส (TOUCH PHONE) ที่รวมสุดยอดเทคโนโลยีความบันเทิงมาไว้ด้วยกัน เริ่มจาก กล้องถ่ายภาพคุณภาพสูง ความละเอียดสูงถึง 12.1 ล้านพิกเซล, หน้าจอกว้างเต็มตาถึง 3.5 นิ้ว, จอคริสตอล เคลียร์ แบบไวด์ สกรีน 16:9, เครื่องเล่นเพลงแบบสัมผัสเต็มรูปแบบ, รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบไมโครเอสดี 8G และระบบปฏิบัติการเกมส์แบบ nHD ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของโซนี่ อิริคสันที่นำระบบนี้มาไว้ในเครื่องมือถือ และถือได้ว่าเป็นความพิเศษสำหรับลูกค้าใน เอเชีย แปซิฟิก ที่ทุกๆ แพ็คจะสามารถดาวน์โหลดเกมส์, ภาพยนตร์, มิวสิค วีดิโอ และเพลงใหม่ล่าสุดจากชาร์ตผ่าน WIFI ได้แก่ เกมส์ ASPHALT ROAD และ เกมส์ PRINCE OF PERSIA ในระบบ nHD หรือจะเลือกดาวน์โหลดภาพยนตร์ 3 เรื่องจาก 50 กว่าเรื่องดัง เช่น ANGELS & DEMONS, MADE OF HONOR เป็นต้น ส่วนเพลงฮิตก็มีให้เลือกโหลดกว่า 300 เพลงจากศิลปินดังอย่าง BRITNEY SPEARS, KINGS OF LEON, KELLY CLARKSON, WONG LEE HOM เป็นต้น
    

•  “รุ่นไอโน” (AINO) – สำหรับความพิเศษของ โทรศัพท์ มือถือ โซนี่ อิริคสัน รุ่น AINO คือ การใช้งาน รีโมท เพลย์ ผ่าน PLAYSTATION ® 3 ทำให้สามารถเข้าถึงความบันเทิงในโลกของไซเบอร์ได้ทุกที่ ทุกแห่ง และทุกเวลาทั่วโลก และอีกหนึ่งความตื่นเต้นที่ AINO มอบให้ก็คือ แอพพลิเคชั่น MEDIA HOME ที่สามารถซิงค์ เพลง, หนัง หรือ มีเดีย คอนเท้นท์ต่างๆ จาก MEDIA GO ™ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ PC ที่บ้านมาไว้ใน AINO ได้อย่างอัตโนมัติ โดยโทรศัพท์มือถือ โซนี่ อิริคสัน ไอโน เป็นสไลด์ โฟน หน้าจอ TFT-LCD 16.7 ล้านสี ขนาด 3 นิ้ว (240 x 432 พิกเซล) ระบบสัมผัสเมื่อใช้ฟีเจอร์ในโหมดมัลติมีเดีย, รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบไมโครเอสดี 8G, รองรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบ กล้องดิจิตอล 8.1 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลช จุดเด่นอยู่ที่การสั่งงาน และควบคุม PS3 ได้จากโทรศัพท์มือถือ
     
• “รุ่นยาริ” (YARI) – โทรศัพท์ มือถือ โซนี่ อิริคสัน รุ่น YARI เป็นมือถือที่มีระบบเกมส์แบบ GESTURE GAMING ซึ่งโดยปกติจะวางขายเฉพาะตลาดในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าเอเชีย แปซิฟิก จะได้สัมผัสความบันเทิงและความสนุกสนานจากการเล่นเกมส์ที่เสมือนจริงให้คุณได้ออกแรง ออกกำลัง ฝึกซ้อมร่างกายแบบสนุกๆ โดยใช้เซ็นเซอร์ที่ใช้จับการเคลื่อนไหวของร่างกายเกมส์ (ระบบ GESTURE และ MOTION GAMING) พร้อมทั้งมีปุ่มคีย์ลัด A กับ B ให้ใช้งานด้วย โดยสามารถดาวน์โหลดได้มากกว่า 100 เกมส์ โซนี่ อิริคสัน ยาริ เป็น สไลด์ โฟน หน้าจอแสดงผล TFT-LCD 262,144 สี ขนาด 2.4 นิ้ว (240 x 320 พิกเซล) หน่วยความจำในตัวเครื่อง 60MB รองรับหน่วยความจำภายนอกแบบไมโครเอสดี กล้องดิจิตอล 5 ล้านพิกเซล
    
  
สำหรับบรรยากาศในการเปิดตัวครั้งนี้ ทาง โซนี่ อิริคสัน ได้นำความบันเทิงหลากหลายรูปแบบมามอบให้สื่อมวลชนกว่า 200 ชีวิตได้สนุกสนาน มีความสุขและเรียกรอยยิ้มได้ตั้งแต่เข้างาน ด้วยการแสดงโชว์จากสาวๆ เชียร์ลีดเดอร์, โชว์บาสเก็ตบอลแบบผาดโผน, โชว์กระโดดเชือกที่สุดแสนอเมซซิ่ง โดยสุดยอดโชว์ที่เรียกเสียงปรบมือคือ โชว์จากนักมายากลระดับโลก “ซีริล” (CYRIL) ที่ได้แสดงกลโดยใช้ มือถือรุ่น SATIO เป็นไฮไลท์ในการโชว์ ตั้งแต่ ไลฟ์โชว์มายากลสดๆ ผ่าน วีดิโอ คอล ส่งตรงจากญี่ปุ่น, การนำมือถือออกจากโทรทัศน์ หรือการนำ SATIO ทะลุกระจกไปวางคืนในตู้โชว์ที่ปิดสนิท ซึ่ง ซีริล ได้เปิดเผยว่า ความอะเมซซิ่งของกลที่เค้าโชว์ ยังเทียบไม่ได้กับความอะเมซซิ่งของความบันเทิงอันครบครันจาก โซนี่ อิริคสัน ซาติโอ เลยทีเดียว โดยทั้ง 3 รุ่นคาดว่าจะวางจำหน่ายประมาณช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2552
    
ข่าว/ภาพ Tuchsarun_K.  
- ภาพบรรยากาศทั้งหมด - 

มือถือกล่องไม้ขีด

เป็นดีไซน์แปลกๆ ของโทรศัพท์มือถือ ที่ออกแบบมาทั้งขนาด รูปร่าง การใช้งานเหมือนกล่องไม้ขีดเลย โดยเมื่อสไลด์ออกมาก็เหมือนเลื่อนกล่องไม้ขีดออกมาเพื่อใช้งาน มีปุ่มกดภายใน แต่ทั้งหมดยังคงเป็นแค่แนวคิดเท่านั้น
 
 
 
 

อี-แคตตาล็อกบนมือถือ ตลาดนัดอุตสาหกรรมออนไลน์


กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (กสอ.) ปรับยุทธ ศาสตร์พัฒนาความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (อีซิต=ECIT) โดยรุกเข้าสู่การใช้ระบบอี-มาร์เก็ตเพลส (e-Marketplace) ผ่านระบบโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์พกพา ตอบสนองการใช้งานของผู้ซื้อผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออนไลน์ที่ขยายไปตามต่างจังหวัดมากขึ้น
จากเริ่มต้นปี 2552 มีสมาชิกไม่ถึงร้อยราย ภายในปีเดียว ปาเข้าไปพันกว่าแล้ว
ภควัต รักศรี ผจก.งานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ซึ่งทำหน้าที่ให้บริการโครงการอีซิต อี-มาร์ เก็ตเพลส เล่าถึงการนำระบบตลาดออนไลน์เข้าสู่โทรศัพท์มือถือว่า เป็นเพราะข้อมูลสถิติที่ติดตามพบว่า ระบบอี-แคตตาล็อก หรือแคตตาล็อก ออนไลน์ใช้งานมาถึงขีดสุดแล้ว ก็ทำได้แค่แสดงข้อมูลบนเว็บ ขณะที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ทั้งยังได้รายละเอียดว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่คือวิศวกรในโรงงาน ซึ่งเป็นผู้มีความต้องการอุปกรณ์ไปใช้ในโรงงาน การซ่อมบำรุง คลังสินค้า หรือเครื่องมือช่าง แต่ไม่ได้เข้าสู่อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ต้องการสิ่งใด ก็แจ้งฝ่ายจัดซื้อให้จัดหา แต่เมื่อได้มาก็ไม่ตรงตามความต้องการ จากการวิจัยพบว่า วิศวกร ผู้ต้องการใช้อุปกรณ์ ต้องการมีระบบอี-มาร์เก็ตเพลส หรือแหล่งเลือกสินค้าที่สืบค้นได้จากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งติดตัวตลอดเวลา ทางโครงการจึงปรับให้สามารถอ่านได้บนโทรศัพท์ และเนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ นิยมมือถือระบบซิม เบียน ดังนั้น การเผยแพร่ข้อมูลออนไลน์บนมือถือ จึงใช้ระบบแวป (wap) โปรแกรมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องการหน่วยความจำมากและใช้พลังงานต่ำ เปิดได้กับมือถือทุกระบบ แม้แต่จอขาวดำ
อี-มาร์เก็ตเพลส แห่งนี้ เป็นตลาดนัดหรือตลาดกลางสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มุ่งตอบสนองธุรกิจด้วยกัน หรือบีทูบี (B2B) ต่างกับเว็บชอปปิงออนไลน์ที่เน้นจำหน่ายปลีกกับผู้บริโภค ซึ่งเรียกกันในวงการว่า บีทูซี (B2C)
ตลาด อี-มาร์เก็ตเพลส สำหรับอุตสาห กรรมต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ซื้อ จึงต้องพิจารณาผู้ขายที่มีคุณภาพ และอีซิต จะทำต่อไปก็คือ เคเอ็ม หรือการจัดการความรู้ เผยแพร่ให้ผู้ซื้อจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทราบข้อมูลเชิงวิชาการว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายจะแก้ปัญหาอะไรให้กับโรงงาน เพื่อให้ได้สินค้าที่ตรงความต้องการ หรือติดยึดกับยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง
ผลแห่งการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อทำให้เว็บตลาดออนไลน์ เฉพาะ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมรายนี้ มีลูกค้าติดต่อเข้ามามากมาย จนต้องจัดแผนกทำหน้าที่จับคู่การค้า ให้กับผู้ซื้อรายใหญ่กับผู้จำหน่ายในกรณีที่สืบค้นเองแล้วหาไม่เจอ หลายรายใช้วิธีโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ แต่กับรายที่ใช้คีย์เวิร์ด หรือคำสำคัญตรงกับหมวดสินค้าที่มี เว็บไซต์ของผู้จำหน่าย ก็ไปติดต่อกันโดยตรง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเว็บอี-มาร์เก็ตเพลส ที่บริษัทใหญ่ ชื่อดังที่รู้จักทั่วฟ้าเมืองไทยว่าเป็นเจ้าตลาดในแต่ละกลุ่มสินค้ามาอาศัยเป็นช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กับผู้ประกอบการด้วยกัน
ถามว่า หากผู้ประกอบการรายใหม่ไม่อยากตกขบวน จะเข้าร่วมโครงการทำอย่างไร อาจารย์ภควัต บอกว่าต้องเข้าเงื่อนไขที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกำหนด คือ เป็นผู้ผลิตโดยตรง ไมใช่นายหน้า เป็นกิจการของคนไทย หากเป็นกิจการข้ามชาติ ก็ไม่รับ
จะต้องมีความรู้เทคโนโลยีสารสนเทศขนาดไหน เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ง่วนกับภารกิจในโรงงาน ไม่มีเวลานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ คำตอบก็คือ อันดับแรกต้องเปิดใจว่าพร้อมจะเข้าสู่ระบบอี-มาร์เก็ตเพลส มีความต้องการใช้ไอทีเพื่อเพิ่มยอดขาย ดังนั้น ก็ควรรู้ว่าเว็บไซต์เป็นพื้นที่ค้าขาย เป็นแหล่งที่จะค้นหาสินค้า หรือตรวจสอบข้อมูลของคู่แข่งเป็นเพียงเท่านี้ เมื่อเข้าร่วมกับโครงการ อบรมอีกหนึ่งวัน ให้ทราบเทคนิควิธีการก็ใช้การได้
แม้อินเทอร์เน็ต จะเป็นแหล่งโอกาสทางการค้าของธุรกิจน้อยใหญ่ แต่ในเวลาเดียวกัน ข่าวร้าย จากการถูกเจาะระบบ การโจมตีของวายร้ายที่ลอบก่อกวน จะทำให้มีปัญหาการรั่วไหลของข้อมูล หรือทำให้ความลับของกิจการหลุดไปถึงมือของผู้อื่นหรือไม่ อาจารย์ภควัต ตอบว่า แท้จริง อี-มาร์เก็ตเพลส หรือแคตตาล็อกออนไลน์ ไม่ต่างกับการทำโบรชัวร์ ซึ่งมีจุดหมายเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า ต่างกันตรงที่อี-มาร์เก็ตเพลส อยู่ในเว็บไซต์ การจะรั่วไหลหรือไม่ ก็ขึ้นกับว่า เจ้าของสถานประกอบการให้สิทธิพนักงานในการเข้าถึงข้อมูลอย่างไร การจัดระบบหรือความรับผิดชอบข้อมูลของพนักงานเป็นอย่างไร
หากเกิดปัญหา ก็ไม่ได้เกิดจากการเข้าสู่ระบบอี-มาร์เก็ตเพลส แน่นอน
สนใจอยากให้สินค้าอยู่ในสายตาของผู้ซื้อจากกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ให้เข้าไปศึกษารายละเอียดบนเว็บ www.ecitthai.net หรือ www.thaitechno.net และถ้าตกลงปลงใจ ก็กรอกใบสมัครไว้ได้ จะสอบถามทางโทรศัพท์ก่อน ก็เชิญที่ 0-2586-7700, 0-2586-7711
งานนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดทำระบบเพื่อสนับสนุนธุรกิจให้มีแหล่งค้าออนไลน์คุณภาพไว้แล้ว
จึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสผ่านหน้าไปโดยไม่รีบคว้า.

ธุรกิจมือถือชี้ รายได้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจะแซงบริการเสียงในอีก 3 ปี

ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือคาดว่ารายได้จากการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจะกลายเป็นแหล่งทำเงินหลักในตลาดประเทศพัฒนาแล้วในอีก 3 ปีข้างหน้า และต้องการคิดค่าธรรมเนียมจากการเข้าถึงเครือข่ายของตนจากผู้ให้บริการคอนเทนต์ ซึ่งยิ่งก่อให้เกิดความสงสัยเรื่องหลักการความเท่าเทียมของการส่งข้อมูลบนเครือข่าย (Net neutrality) มากขึ้น

เดอะ ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า จากการสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารในธุรกิจดังกล่าวโดยอีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนส์ ยูนิท ชี้ว่า รายได้จากบริการด้านเสียงซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมดจะถูกแซงโดยรายได้จากการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นภายในปี 2556

หลายคนยังแสดงความกังวลด้วยว่า เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยหันไปใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ ดาวน์โหลดวีดีโอและเกมส์มากขึ้น บริษัทของพวกเขาต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลในขณะที่ผู้ให้บริการคอนเทนต์สามารถเก็บเงินเข้ากระเป๋าได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
 
นาตาชา กู้ด ผู้ร่วมทำวิจัยครั้งนี้ชี้ว่า "ผู้ให้บริการมือถือต้องหันไปหาคอนเซ็ปต์ที่ว่า คอนเทนต์คือหัวใจ แต่พวกเขาก็อาจต้องถามตัวเองว่า ′เราจะเป็นแค่ท่อส่งที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่คอยขนถ่ายคอนเทนต์หรือเราจะมีส่วนแบ่งในเค้กก้อนนี้ด้วย′"

จากการสำรวจยังพบว่า 55% เห็นว่าผู้ให้บริการเครือข่ายควรมีสิทธิ์เรียกเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการใช้บริการเครือข่าย ขณะที่ 38% เห็นว่าควรเป็นไปตามรูปแบบเดิมนั่นคือไม่อนุญาตให้เรียกเก็บค่าบริการจากใครเป็นพิเศษ
 ประเด็น Net neutrality ซึ่งเป็นปัญหามานานยิ่งเข้มข้นขึ้นอีกเมื่อกูเกิลและเวอร์ริซอนออกแถลงการณ์ร่วมว่าควรบริหารจัดการทราฟฟิกออนไลน์อย่างไร ซึ่งหนึ่งในนั้นระบุว่าเจ้าของเครือข่ายควรมีสิทธิ์คิดค่าบริการพิเศษจากคอนเทนต์บางประเภทได้

ด้านบริษัทหลายแห่งในยุโรปอย่างฟรานซ์เทเลคอมและเทเลโฟนิกา จากสเปน ก็เรียกร้องขอเก็บเงินจากเว็บไซต์ที่ใช้พื้นที่มากอย่างยูทูบ ทว่าทางเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมาธิการยุโรปไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวเพราะถือว่าเข้าข่ายการเลือกปฏิบัติ

5 ประเด็นฮอตเขย่าวงการมือถือปี 2010

ปี พ.ศ. 2553 หรือ ค.ศ. 2010 นี้เป็นอีกปีที่ความเคลื่อนไหวในวงการมือถือเต็มไปด้วยนวัตกรรม และเรื่องอื้อฉาวไม่ต่างกับวงการอื่นๆ ก่อนจะโบกลาปีเก่า เราจึงขอคัดสรรเฉพาะประเด็นเด่นๆ ในอุตสาหกรรมมือถือและโทรคมนาคมมาให้คุณทบทวนและเก็บเป็นประวัติศาสต์กันอีกสักครา
อันดับ1. ไอโฟน 4 ไม่มีเซอร์ไพรส์
มือถือเทพแห่งปี 2010 นี้ต้องยกให้กับไอโฟน 4 อย่างไม่ต้องสงสัย ที่ปัจจุบันคนไทยใช้กันเกลื่อนเพราะทั้ง 3 ค่ายมือถือเปิดตัวพร้อมๆ กันพร้อมแพคเกจที่คุ้มค่า และฟีเจอร์ที่หาไม่ได้ในไอโฟนรุ่นก่อนๆ อาทิ หน้าจอความคมชัดสูงจาก Retina Display คุยแบบเห็นหน้าด้วย Face Time  ตัดต่อวิดีโอได้ด้วยแอปฯ iMovie ฯลฯ
แต่อย่างไรก็ดีช่วงหนึ่งเดือนก่อนที่สตีฟ จ็อบส์จะขึ้นเวทีเพื่อเปิดตัวมือถือเครื่องนี้ ความขลังแห่งความลับของไอโฟน 4 ก็ได้สลายไปด้วยเหตุการณ์ที่คนในของแอปเปิลลืมต้นแบบไอโฟน 4 ไว้ที่บาร์ เป็นเหตุให้มีภาพ/วิดีโอหลุดว่อนเน็ต ทั้งในอเมริกาและเวียดนาม
และเพียงแค่วันเดียวหลังจากไอโฟน 4 วางขายที่อเมริกาก็เจอกับปัญหาสัญญาณขาดหายจากผู้ใช้นับพันคน จนในที่สุดแอปเปิลเลยต้องแก้เกมด้วยการแจก Bumper หรือกรอบมือถือที่เป็นยางฟรี! ซึ่งก็ทำให้แอปเปิลต้องเสียเงินกว่า 5 พันล้านบาท!
และเพราะความเป็นสุดยอดมือถือ จึงทำให้แอปเปิลได้รับการโปรโมทแบบฟรีๆ จากสาวกมากมาย อาทิ ชำแหละทุกชิ้นส่วนของไอโฟน 4 จาก iFixit และประเมินราคาว่าต้นทุนการผลิตอยู่ที่ 5,640 บาท จากนั้นก็เอาไปปั่นด้วย Will it Blend? หรือแม้กระทั่งแจ้งเกิดนักร้อง และนักดนตรีและคนเบื้องหลังมากมายจากการใช้ไอโฟน 4 แทนเครื่องดนตรี หรือกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งเรื่องด้วยมือถือไอโฟน 4 เครื่องเดียว นี่ยังไม่นับรวมกระแสมือถือซานไจ้ไอโฟน 4 ที่มีสารพัดสี พร้อมดูทีวีแอนาล็อกได้!
ปรากฎการณ์ไอโฟน 4 ฟีเวอร์ อาจจะสรุปได้สั้นๆ ว่า “ก็อย่างนี้แหละ…ของเค้าดีจริง!”

อันดับ 2. เครื่องรูดบัตรเครดิตด้วยไอโฟน
นิตยสาร Times ยกย่อง Square เครื่องรูดบัตรเครดิตด้วยไอโฟนเป็นหนึ่งใน 50 นวัตกรรมแห่งปี 2010 ในหมวดของเทคโนโลยี แต่ความเป็นจริงแล้วในแวดวงของเครื่องรูดบัตรเครดิตด้วยไอโฟนกลับมีคู่แข่งมากกว่า 10 รายจากทุกทวีปทั่วโลก อาทิ Mophie, Payware Mobile, Verifone, iCharge, ด้วยจุดเด่นที่มีการผสมระหว่างของเก่าและประสบการณ์จ่ายเงินใหม่ๆ ไว้ในตัว อันได้แก่ บัตรเครดิตธรรมดา กับการเซ็นชื่อบนจอสัมผัส และรับใบเสร็จทาง SMS จึงทำให้มันจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของสารพัดวิธีในการจ่ายเงินผ่านมือถืออื่นๆ เช่น SMS, WAP, NFC
อันดับ 3. มือถือกับแผ่นดินไหวที่เฮติ
เพราะเหตุการณ์ภัยพิบัติช็อกโลกที่เฮติ ซึ่งนับเป็นแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 200 ปี ทำให้เกิดปรากฎการณ์ 2 อย่างใหญ่ๆ ในวงการมือถือ อย่างแรกคือ การร่วมบริจาคผ่านช่องทางไฮเทคของคนทั่วโลก และอีกอย่างคือการพัฒนานวัตกรรมอื่นๆ มาเสริมทัพอีกมาก เพื่อให้คนที่ประสบเหตุสามารถสื่อสารในยามวิกฤติได้ สำหรับการการบริจาคเงินพบว่าช่องทางการบริจาคผ่าน SMS มาแรงที่สุด เพราะง่ายและเข้าถึงได้กับทุกคนที่มีมือถือ ที่สำคัญเป็นเงินจำนวนไม่มากในการบริจาคแต่ละครั้งจึงทำให้คนใช้มือถือทั่วโลกแห่กันมาช่วยบริจาคผ่านช่องทางนี้ เฉพาะทางสภากาชาดอย่างเดียวได้ไปถึง 30 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบของแอปฯ  ซึ่งรวมๆ แล้วช่องทางการบริจาคเงินผ่านมือถืออย่างเดียวมากกว่า 100 ล้านบาทในเวลาอันรวดเร็ว
และภายหลังก็ได้มีสารพัดนวัตกรรมที่ช่วยให้คนใช้มือถือในยามฉุกเฉิน ไม่มีทั้งคลื่นมือถือ และไฟฟ้าได้ อาทิ เด็กหนุ่มอายุเพียง 16 ปี ออกแบบอุปกรณ์ที่สามารถส่งข้อมูลด้วยคลื่นวิทยุความถี่ต่ำได้ ซึ่งสามารถทะลุทะลวงผ่านชั้นหินไปได้ง่ายกว่าคลื่นวิทยุความถี่สูงที่เราใช้กันอยู่ทั่วไปในการกระจายสัญญาณวิทยุ FM ซึ่งจะเป็นแรกที่ทำระบบส่ง SMS จากชั้นใต้ดินที่ลึกเกือบ 1,000 ฟุตได้ นอกจากนี้ยังมีดร. พอล การ์ดเนอร์ สตีเฟ่น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย ฟลินเดอร์ในออสเตรเลีย ได้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ทำให้มือถือสามารถสื่อสารหากันได้แม้จะอยู่ในที่อับสัญญาณ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งทั้งเสาโทรศัพท์ และดาวเทียมใดๆ แต่อาศัยหลักการของการส่งสัญญาณเสียงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi)
อันดับ 4. เสินเจิ้นแหล่งรวมของแรงส์!
มหาอำนาจแห่งโลกไฮเทคถูกเคลื่อนย้ายจากซิลิกอนวัลเลย์แห่งอเมริกามาที่หวาฉางเป่ย ณ เสินเจิ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่โรงงาน Foxconn ที่ตั้งของศูนย์การผลิตคอมฯ มือถือฯ แบรนด์ดังทั่วโลก อาทิ HP, DELL, APPLE จึงทำให้ตึกใหญ่ๆ นับสิบตึก ณ ย่านหวาฉางเป่ยของเสินเจิ้นเป็นศูนย์การของเล่นไฮเทคใหม่ๆ จากทั่วทุกมุมโลก และสำหรับวงการมือถือสิ่งที่เกิดมาควบคู่กับย่านนี้คงหนีไม่พ้น “มือถือซานไจ้” หรือมือถือที่ทั้งเลียนแบบแบรนด์ดัง หรือมือถือแปลกที่คนจีนคิดขึ้นมาเอง หรือแม้กระทั่งมือถือเฮ้าส์แบรนด์ที่เมืองไทยเอามาติดแบรนด์ใหญ่ๆ ขายก็ล้วนเอ็กซ์พอร์ตมาจากที่นี่ทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุให้ระบบเศรษฐกิจของที่นี่โต 10.7% และเป็นส่วนผลักดันให้ GDP ของประเทศจีนพุ่งสูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการล่าสุดของบริษัท MediaTek (ผู้อยู่เบื้องหลังของชิปอัจฉริยะในมือถือซานไจ้ ที่รวมทุกฟีเจอร์ที่คนอยากให้มีในมือถือเข้าไว้ด้วยกัน) กลับมีตัวแดงโดยกำไรในไตรมาส 3 ปีนี้ลดลง 18%  นั่นก็เพราะบริษัทยังไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีให้ไปถึงยุค 3G ได้ แต่ก็พร้อมประกาศลุยสร้างชิปสำหรับมือถือระบบแอนดรอยด์ในราคาถูกที่สุดโลกมาแก้มือ
และประเด็นสุดท้ายที่ทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเล็กๆ อย่าง Yosion Technology ในเสินเจิ้นดังไปทั่วโลกนั่นก็คือ การออกแบบซองมือถือที่สามารถเปลี่ยนไอพอด ทัช ให้กลายเป็นโทรศัพท์เหมือนไอโฟนได้! ในราคาไม่ถึง 3,000 บาท ช็อกใจสตีฟ จ็อบส์ไปเลย!
อันดับที่ 5. ใครๆ ก็มีแอปสโตร์
เพราะสมาร์ทโฟนแต่ละระบบปฏิบัติการกินขาดกันที่ “แอปพลิเคชัน” ซึ่งผู้นำความคิดที่ทำให้แอปสโตร์เป็น Role Model ก็ต้องประทับตราให้กับแอปเปิล ที่วันนี้แอปสโตร์มีแอปฯ มากกว่า 3 แสนแอปฯแล้ว! ซึ่งไม่ได้แค่หมายถึงการขายเครื่องได้มากขึ้น แต่ยังหมายถึงส่วนแบ่งรายได้จากการขายแอปฯ แต่ละชิ้นที่ 30% ด้วย จึงไม่แปลกใจที่วันนี้ ทั้งทุกองคาพยพของวงการมือถือ อาทิ ระบบมือถือสมาร์ทโฟน ทั้ง แอนดรอยด์ วินโดวส์โมบาย แบล็กเบอร์รี่ บาด้า ฯลฯ และผู้ผลิตมือถือเองอย่าง แอลจี ซัมซุง โนเกีย ฯลฯ และแม้แต่เครือข่ายมือถือเอง อย่าง ไชน่า โมบาย ไชน่า ยูนิคอม เอไอเอส ทรู  ฯลฯ ก็หันมาเปิดแอปสโตร์ของตัวเองกันอย่างพร้อมเพรียง
สำหรับฉบับหน้าเตรียมพบกับการฟันธงเทรนด์ดังเขย่าวงการมือถือปี 2011 อยากอัปเดทก่อนใคร ห้ามพลาดทุกแผงหนังสือกับคอลัมน์